สื่อเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์

สื่อเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์

เด็กปฐมวัยกับการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

          เบญจา แสงมลิ และคณะ (2539: 503-504) กล่าวว่า เด็กปฐมวัยพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์จากประสบการณ์ที่ได้จากการสังเกตการเล่น การซักถาม ซึ่งพัฒนามาถึงจุดที่เด็กต้องการจะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์เดิมให้เป็นประสบการณ์ใหม่ และแสดงออกด้วยการพูด การเขียน การสร้าง และการแสดงท่าทาง
เด็กปฐมวัยเป็นเด็กที่กำลังพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เช่นเดียวกับการพัฒนาสติปัญญา มีผู้กล่าวว่า เด็กที่มีการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สามารถสังเกตได้จากลักษณะพฤติกรรมของเด็ก ดังนี้      
1. อยากรู้อยากเห็นและสนใจสิ่งใหม่ๆ
2. ชอบซักถาม สำรวจ และทดลอง
3. มีความสามารถจำแนกและเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ
4. มีความสามารถเชื่อมประสานสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน
5. มีความสามารถอธิบายและลำดับเรื่องต่างๆ
6. มีความคิดรวดเร็ว คล่องแคล่ว
7. มีความเข้าใจปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
8. มีความมั่นใจในตัวเอง และกล้าแสดงออก
9. มีลักษณะการเป็นผู้นำ กล้าเผชิญกับสิ่งแปลกใหม่
10. ทำงานเพื่อความสุขของตนเองมิได้หวังคำชมหรือรางวัล
การที่จะส่งเสริมเด็กปฐมวัยให้มีลักษณะพฤติกรรมดังกล่าวเพื่อพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กนั้น จะต้องจัดประสบการณ์ให้เด็กได้สังเกต ได้เล่น และได้ซักถาม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เด็กมีอิสระในการแสดงออกทางความคิดด้วยการพูดและการกระทำตามจินตนาการและความพอใจของเขา ซึ่งการกระทำเหล่านี้จะพัฒนามาถึงจุดที่ทำให้เด็กต้องการเปลี่ยนแปลงประสบการณ์เดิมให้เป็นประสบการณ์ใหม่
1. การพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยจากการสังเกตและการเล่น การสังเกตและการเล่นช่วยพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย เนื่องจากขณะที่เด็กเล่นด้วยความอยากรู้อยากเห็นนั้น เด็กจะสังเกตและสำรวจของเล่นอย่างละเอียดลออ อาจจะแกะดึงชิ้นส่วนออกดูให้รู้ว่าของเล่นชิ้นนั้นประกอบกันอย่างไร ข้างในมีอะไรบ้าง เครื่องยนต์กลไกต่างๆ ทำงานกันอย่างไร ถ้าเป็นของเล่นที่สร้างสิ่งต่างๆ ได้ เช่น ไม้บล็อก แผ่นรูปเรขาคณิตสร้างสรรค์ เลโก้ (Lego) พลาสติกสร้างสรรค์ เด็กก็จะสังเกตวิธีเล่นและทดลองสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นตามความสนใจ โดยใช้จินตนาการของเด็กเอง ถ้าเป็นการเล่นเกี่ยวกับสีต่างๆ เด็กก็จะสังเกตวิธีใช้สีแต่ละอย่าง เช่น สีเทียน สีน้ำ สีฝุ่น สีผสมแป้งทำภาพนิ้วมือ และทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เด็กจะได้แสดงออกตามความรู้สึกนึกคิดของเขาเอง การทำกิจกรรมเหล่านี้ เด็กจะมีพื้นฐานจากการสังเกตและการเล่นก่อน แล้วจึงทดลองเล่นให้เกิดทักษะ ต่อจากนั้นจึงจะคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ตามจินตนาการของเขา
2. การพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์จากการซักถาม การเปิดโอกาสให้เด็กได้พูดซักถามจะช่วยพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กได้อย่างดี เพราะถ้าเด็กซักถามแล้วมีผู้สอบให้เหมาะกับวัยและความ สามารถของเด็ก จะทำให้เด็กรับรู้และเข้าใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ถูกต้อง ทั้งจากง่ายไปหายาก และขยายไปสู่วงกว้างมากขึ้นๆ ยิ่งถ้าเด็กได้รับการฝึกให้คิดแก้ปัญหาต่างๆ อย่างรวดเร็ว ฝึกให้คิดหลายๆ ทาง เช่น ฝึกถามตอบปัญหาอะไรเอ่ย ฝึกต่อคำ ต่อประโยค ต่อเรื่อง เล่าเรื่องต่างๆ จะช่วยให้เด็กใช้ความคิดและใช้ภาษาได้คล่องแคล่ว จนถึงจุดที่จะพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กได้
กล่าวโดยสรุปคือ การจัดประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมทางความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย จากการสังเกต การเล่น การซักถามนั้น จะต้องให้เด็กได้แสดงออกตามความนึกคิดของตัวเอง ด้วยการพูดเล่าเรื่องราวต่างๆ การขีดเขียนด้วยเครื่องมือต่างๆ การสร้างด้วยวัสดุต่างๆ และการแสดงท่าทางต่างๆ

แนวการพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย

เบญจา แสงมลิ และคณะ (2539: 507) กล่าวว่า การพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย จะทำได้โดยการส่งเสริมการแสดงออกด้วยการพูด การแสดงออกด้วยงานศิลปะ การเล่นสร้าง การเล่นดนตรี การแสดงท่าเคลื่อนไหวตามจังหวะ และการแสดงละครแบบต่างๆ
เด็กทุกคนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แต่ระดับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการที่เด็กจะได้รับแรงกระตุ้นหรือส่งเสริมให้ความสามารถทางด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้พัฒนามากขึ้นเพียงใด จากผลการวิจัยเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ของเด็กฝรั่งพบว่า เด็กจะมีจินตนาการสร้างสรรค์ถึงจุดสุดยอดเมื่ออายุ 4-4½ ปี แล้วค่อยลดลงมาเมื่อเด็กย่างเข้า 5 ปี การที่ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กลดลงตอนอายุ 5 ปีนั้น เนื่องจากเป็นเกณฑ์ที่เด็กเริ่มเข้าเรียนอนุบาล ขณะที่เด็กเรียนชั้นอนุบาล ครูมักชอบบังคับให้เด็กปฏิบัติตามตลอดเวลาจนเป็นนิสัย จึงทำให้เด็กขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ผลงานวิจัยนี้ เป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นความสำคัญและความจำเป็นที่จะพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของ เด็กปฐมวัย ถ้าครูไม่บังคับเด็ก แต่เปิดโอกาสให้เด็กแสดงออกอย่างเหมาะสมและต่อเนื่องกัน ก็จะทำให้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กพัฒนาได้อย่างดี
Guilford (1967: 145-151; อ้างถึงใน Dinhin, 2549) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ว่า ประกอบด้วยลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ
1. ความคิดริเริ่ม (Originality) หมายถึง ความคิดแปลกใหม่ไม่ซ้ำกันกับความคิดของคนอื่น และแตกต่างจากความคิดธรรมดา ความคิดริเริ่มอาจเกิดจากการคิดจากเดิมที่มีอยู่แล้วให้แปลกแตกต่างจากที่เคยเห็น หรือสามารถพลิกแพลงให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด ความคิดริเริ่มอาจเป็นการนำเอาความคิดเก่ามาปรุงแต่งผสมผสานจนเกิดเป็นของใหม่ ความคิดริเริ่มมีหลายระดับซึ่งอาจเป็นความคิดครั้งแรกที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครสอนแม้ความคิดนั้นจะมีผู้อื่นคิดไว้ก่อนแล้วก็ตาม
2. ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency) หมายถึง ปริมาณความคิดที่ไม่ซ้ำกันในเรื่องเดียวกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
          2.1 ความคล่องแคล่วทางด้านถ้อยคำ (Word Fluency) เป็นความสามารถในการใช้ถ้อยคำอย่างคล่องแคล่ว
          2.2 ความคิดคล่องแคล่วทางด้านการโยงสัมพันธ์ (Associational Fluency) เป็นความสามารถที่จะคิดหาถ้อยคำที่เหมือนกันได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ภายในเวลาที่กำหนด
          2.3 ความคล่องแคล่วทางด้านการแสดงออก (Expression Fluency) เป็นความสามารถในการใช้วลีหรือประโยค กล่าวคือ สามารถที่จะนำคำมาเรียงกันอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้ประโยคที่ต้องการ
          2.4 ความคล่องแคล่วในการคิด (Ideational Fluency) เป็นความสามารถที่จะคิดค้นสิ่งที่ต้องการภายในเวลาที่กำหนด เช่น ใช้คิดหาประโยชน์ของก้อนอิฐให้ได้มากที่สุดภายในเวลาที่กำหนดซึ่งอาจเป็น 5 นาที หรือ 10 นที
3. ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึง ประเภทหรือแบบของการคิดแบ่งออกเป็น
          3.1 ความคิดยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นทันที (Spontaneous Flexibility) เป็นความสามารถที่จะพยายามคิดได้หลายทางอย่างอิสระ ตัวอย่างของคนที่มีความคิดยืดหยุ่นในด้านนี้จะคิดได้ว่าประโยชน์ของหนังสือพิมพ์มีอะไรบ้าง ความคิดของผู้ที่ยืดหยุ่นสามารถจัดกลุ่มได้หลายทิศทางหรือหลายด้าน เช่น เพื่อรู้ข่าวสาร เพื่อโฆษณาสินค้า เพื่อธุรกิจ ฯลฯ ในขณะที่คนที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์จะคิดได้เพียงทิศทางเดียว คือ เพื่อรู้ข่าวสาร เท่านั้น
          3.2 ความคิดยืดหยุ่นทางด้านการดัดแปลง (Adaptive Flexibility) หมายถึง ความสามารถ ในการดัดแปลงความรู้ หรือประสบการณให้เกิดประโยชน์หลายๆ ด้าน ซึ่งมีประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา ผู้ที่มีความยืดหยุ่นจะคิดดัดแปลงได้ไม่ซ้ำกัน
4. ความคิดละเอียดลออ (Elaboration) หมายถึง ความคิดในรายละเอียดเป็นขั้นตอน สามารถอธิบายให้เห็นภาพชัดเจน หรือเป็นแผนงานที่สมบูรณ์ขึ้น ความคิดละเอียดลออจัดเป็นรายละเอียดที่นำมาตกแต่ง ขยายความคิดครั้งแรกให้สมบูรณ์ขึ้น
เบญจา แสงมลิ และคณะ (2539: 507-508) กล่าวว่า สำหรับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยนั้น หมายถึง การประกอบหรือทำสิ่งใหม่สำหรับตัวเอง ดังนั้น ถ้าจะพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยให้มีองค์ประกอบทั้ง 4 ประการดังกล่าวในการทำสิ่งใหม่สำหรับตัวเอง จึงต้องเปิดโอกาสให้เด็กมีอิสระในการแสดงออกทางความคิดด้วยการพูด การกระทำ และการสร้างสรรค์ผลงานตามจินตนาการของเขา
แนวการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่ส่งเสริมการแสดงออกอย่างมีอิสระ ตามจินตนาการและความพอใจของเด็กมีดังนี้
1. การแสดงออกด้วยการพูด เช่น ให้เด็กเล่าเรื่อง เล่านิทาน ตามจินตนาการของเขาเอง ให้พูดแสดงความคิดเห็นหรือให้เหตุผล ฯลฯ
2. การแสดงออกด้วยงานศิลปะ เช่น ให้วาดภาพระบายสีด้วยสีเทียนหรือสีไม้ ให้วาดภาพด้วยพู่กันและใช้สีน้ำ สีฝุ่น สีโปสเตอร์ ให้วาดภาพลายนิ้วมือด้วยแป้งมันผสมสี รืโคลน ให้วาดภาพด้วยกาวน้ำโรยทรายสี หรือโรยขี้เลื่อยไม้ป่นผสมสี หรือกากมะพร้าวป่นผสมสี ให้เขียนภาพด้วยเชือกหรือด้ายหลอด ให้พิมพ์ภาพด้วยเศษวัสดุ หรือเศษฟองน้ำ หรือกระดาษขยุ้ม หรือใบไม้ ให้เล่นสีบนกระดาษด้ยการหยดสี เทสี เป่าสี ทับสี ลูบสี ให้ทำงานกระดาษด้วยการฉีก ตัด ปะ ม้วน พับ กระดาษ ให้ปั้นด้วยดินน้ำมัน ดินเหนียว หรือแป้งทำขนม ให้ประดิษฐ์สิ่งของจากเศษวัสดุ ฯลฯ
3. การเล่นสร้าง เช่น สร้างสิ่งต่างๆ ด้วยไม้บล็อก กล่องกระดาษ แผ่นรูปเรขาคณิต เลโก้ หรือพลาสติกสร้างสรรค์ที่สวมต่อกัน ฯลฯ
4. การเล่นดนตรี เช่น เล่นเครื่องเขย่า ตีกลอง ตีฉาบ ตีฉิ่ง ตีระนาด เป่าปี่ ดีดเปียโน ฯลฯ รวมทั้งการร้องเพลงด้วย
5. ารแสดงท่าเคลื่อนไหวตามจังหวะ เช่น เต้นตามจังหวะดนตรี แสดงท่าประกอบการร้องเพลง ฟ้อนรำอย่างง่ายๆ รวมทั้งการแสดงท่ากิริยาอาการของคนและสัตว์ต่างๆ
6. การแสดงละครแบบต่างๆ เช่น ละครหน้ากาก ละครหุ่นตัว หุ่นถุง หุ่นเชิด หุ่นชัก หุ่นนิ้วมือ ฯลฯ
                จากที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า แนวการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยด้วยการเปิดโอกาสให้เด็กได้สังเกต ได้เล่น ได้ใช้ภาษาพูด และได้แสดงออกโดยวิธีการต่างๆ นั้น สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ สื่อที่จะให้เด็กมีโอกาสได้ทำสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องรู้จักจัดหาและเลือกซื้อที่ประโยชน์ มีประสิทธิภาพ และประหยัด มาจัดประสบการณ์ให้แก่เด็กด้วย
การจัดหาและเลือกสื่อเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย

                นิภา แย้มวจี,. (2552) กล่าวว่า การจัดหาและเลือกสื่อเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ควรคำนึงถึงลักษณะของสื่อดังนี้
          1. ความเหมาะสมของสื่อตามวัยของเด็ก วัยปฐมวัยนั้นควรเป็นสื่อที่ช่วยเร้าความสนใจของเด็กให้มีความอยากรู้อยากเห็น
          2. คุณภาพในแง่ความปลอดภัย ความคงทน และการออกแบบ สื่อที่ดีสำหรับเด็กปฐมวัย จะต้องทำด้วยวัสดุที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อเด็ก สีต้องไม่สะสมปนตะกั่ว ขนาดมุมไม่แหลมคม
          3. ประโยชน์ใช้สอย สื่อที่มีคุณภาพ ควรคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ได้หลายๆ อย่าง หรือนำมาดัดแปลงใช้ได้หลายโอกาส เล่นได้หลายคน และหลายวัตถุประสงค์
          4. ประหยัด สะดวกในการจัดหาให้มีความหลากหลายและจำนวนที่เพียงพอ สื่อที่จะให้ประสบการณ์ตรงกับเด็กนั้นควรจะหาซื้อง่าย หรืออาจทำขึ้นมาได้เอง
          5. การจัดประสบการณ์เพื่อการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย ด้วยสื่อของเล่นจะต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกถึงความรู้สึกของตน การขีดเขียนด้วยเครื่องมือต่างๆ การสร้างด้วยวัสดุต่างๆ ให้เด็กมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์ด้วย ดังนั้น เราจึงต้องรู้จักจัดหาและเลือกสื่อที่มีประโยชน์มีประสิทธิภาพ และประหยัดมาจัดประสบการณ์ให้แก่เด็กด้วย
เบญจา แสงมลิ และคณะ (2539: 511) กล่าวว่า การจัดหาและเลือกสื่อที่ดีเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยจะทำให้สามารถได้สื่อที่ช่วยพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มของเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ
สื่อมีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัย ทั้งนี้เพราะเด็กวัยนี้ต้องการเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นรูปธรรมปละประสบการณ์ตรง ดังนั้น สื่อที่นำมาใช้กับเด็กปฐมวัย ซึ่งประกอบด้วย 1. วัสดุ คือ ของเล่นต่างๆ ที่เด็กจะได้เล่นด้วยตนเอง 2. อุปกรณ์ คือ เครื่องมือที่ครูนำมาใช้ประกอบการสอนให้เด็กเข้าใจดียิ่งขึ้น เช่น สไลด์ ภาพยนตร์ ซึ่งจะออกมาเป็นภาพให้เด็กเห็น หรืออาจเป็นเครื่องมือต่างๆ ที่จะให้เด็กได้สังเกต ทดลอง หรือแสดงออกเอง และ 3. วิธีการที่เหมาะสมกับสภาพการณ์และเนื้อหาต่างๆ ที่จะให้เด็กปฐมวัยเกิดการเรียนรู้และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สื่อจึงเป็นสิ่งที่จะทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด สื่อจะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบตัวตามความสนใจและความสามารถได้อย่างดี ช่วยให้เด็กเรียนได้ง่าย รวดเร็ว และเพลิดเพลิน มีทัศนคติที่ดี และจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้นาน ดังนั้น ครู บิดามารดา ผู้ใกล้ชิดเด็ก และผู้ที่ทำงานกับเด็ก จึงจำเป็นต้องรู้จักจัดหาและเลือกสื่อที่ดีมีคุณค่าดังกล่าวมาให้เด็กปฐมวัยได้รับประสบการณ์ตรง เพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยอย่างมีประสิทธิภาพ

 เกณฑ์ในการจัดหาและเลือกสื่อเพื่อพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย

เบญจา แสงมลิ และคณะ (2539: 511-513) กล่าวว่า เกณฑ์ในการจัดหาและเลือกสื่อที่ดีเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ควรคำนึงถึงความเหมาะสมของสื่อตามวัยของเด็ก คุณภาพในแง่ความปลอดภัย ความคงทนถาวร และการออกแบบ ประโยชน์ใช้สอย ความประหยัด ความสะดวกในการจัดหาให้มีความหลากหลายและมีจำนวนที่เพียงพอ รวมทั้งความสามารถของครูในการใช้สื่อ
การจัดหาและเลือกสื่อเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ควรคำนึงถึงลักษณะของสื่อดังต่อไปนี้
1. ความเหมาะสมของสื่อตามวัยของเด็ก สื่อที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัยนั้น ควรเป็นสื่อที่มีลักษณะดังนี้
1.1 ช่วยเร้าความสนใจของเด็กไม่อยากรู้อยากเห็น สีสันสวยงาม สะดุดตาเด็ก จากผลการวิจัยของ สุดาพร ประหัษฏางกูร พบว่า เด็กระดับอนุบาลชอบสีอุ่นมากกว่าสีเย็น โดยเรียงลำดับสีที่เด็กชอบมากที่สุดไปหาสิ่งที่ชอบน้อยที่สุด ได้แก่ แดง เหลือง แสด แสดเหลือง เขียวเหลือง แสดแดง ขาว น้ำเงิน เขียว ม่วงน้ำเงิน ม่วงแดง ม่วง เขียวน้ำเงิน และดำ
1.2 ช่วยกระตุ้นให้เด็กพัฒนาการรับรู้ การจำ การจำแนก การเปรียบเทียบ การมองเห็นความสัมพันธ์ การเรียงลำดับ และส่งเสริมให้เด็กใช้ความคิดและจินตนาการที่จะเล่นอย่างริเริ่มสร้างสรรค์หรือแก้ปัญหา เช่น เป็นสื่อที่เด็กสามารถดึง ถอด และต่อเป็นรูปต่างๆ ได้ตามความพอใจ
1.3 ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหว และการใช้มือได้อย่างล่องคล่ว รวมทั้งช่วยพันาประสาทตาและมือให้สัมพันธ์กัน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการอ่าน เขียน และเลขต่อไป
1.4 มีความยากง่ายพอเหมาะกับความสามารถของเด็ก เพราะถ้าง่ายเกินไปเด็กจะเบื่อไม่อยากเล่น และถ้ายากหรือซับซ้อนไป เด็กไม่ประสบความสำเร็จก็จะท้อถอย
2. คุณภาพในแง่ความปลอดภัย ความคงทน และการออกแบบ สื่อที่ดีสำหรับเด็กปฐมวัยจะต้องทำด้วยวัสดุที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อเด็ก อาจทําด้วยไม้ พลาสติก หรือเหล็กก็ได้ แต่ห้ามทำด้วยแก้วเพราะอาจจะแตกเป็นอันตรายต่อเด็กได้ และห้ามใช้วัสดุไวไฟด้วย สีที่ทาหรือผสมให้วัสดุมีสีสันสวยงาม จะต้องไม่มีสารตะกั่วเจือปนอยู่ เพราะจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็ก และต้องไม่ผสมด้วยสารพิษอื่น เช่น สารหนู ผิวของวัสดุควรละเอียด เรียบ ไม่มีเสี้ยนที่จะตำมือเด็ก ขนาดของวัสดุจะต้องไม่เล็กเกินไปจนเด็กกลืนหรือใส่รูหู รูจมูกได้ ไม่ใหญ่โตและหนักเกินไปจนเด็กยกไม่ไหว มีความคงทนไม่ชำรุดแตกหักง่าย การออกแบบต้องประณีต ละเอียดลออ ไม่มีมุมแหลมเหลี่ยมคมที่จะเป็นอันตรายต่อเด็ก มีวิธีการใช้ที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก และมีกล่องเก็บที่แข็งแรงหรือมีที่เก็บให้เป็นระเบียบ
 3. ประโยชน์ใช้สอย สื่อที่มีคุณภาพดี ควรคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ได้หลายๆ อย่าง หรือนำมาดัดแปลงใช้ได้หลายโอกาส เล่นได้หลายคน และหลายวัตถุประสงค์ เช่น สื่อที่เป็นภาพอาจนำมาให้เด็สังเกตแล้วบอกรายละเอียด เล่าเรื่องราว ให้จับคู่ภาพที่เหมือน ให้แยกภาพที่ต่าง ให้จำแนกประเภท ฯลฯ สื่อที่เป็นไม้บล็อก อาจนำมาให้เด็กจำแนกสี เรียงลำดับขนาด นับจำนวน สร้างสรรค์เป็นรูปต่างๆ เป็นต้น
4. ประหยัด สะดวกในการจัดหาให้มีความหลากหลายและมีจำนวนที่เพียงพอ สื่อที่จะให้ประสบการณ์ตรงแก่เด็กนั้น ควรจะหาซื้อได้ง่าย ด้วยราคาประหยัด หรืออาจทำขึ้นมาได้เองเพื่อโรงเรียนจะได้สามารถจัดหาซื้อไว้ได้หลายๆ ชนิด ชนิดละหลายๆ ชิ้น เพื่อให้เด็กได้พัฒนาหลายๆ ด้าน การจัดหาสื่อหรือของเล่นให้เพียงพอกับจำนวนเด็กและให้เด็กทุกคนได้มีโอกาสเล่นนี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องจัดหาสื่อหรือของเล่นชนิดเดียวกันให้ครบตามจำนวนเด็กทุกคน แต่หมายถึงการที่จะจัดหาสื่อหรือของเล่นหลายๆ ชนิด และแต่ละชนิดก็มีหลายชิ้น ให้เด็กทุกคนมีโอกาสได้เล่นของเล่นต่างชนิดเหล่านั้นในเวลาเดียวกัน เมื่อเด็กทุกคนต่างมีของเล่นอยู่ในมือของตนแล้ว ก็จะเล่นไปจนกว่าจะเบื่อและวางของเล่นนั้น ด้วยวิธีนี้ เด็กแต่ละคนก็จะผลัดเวียนกันเล่นของเล่นได้ครบทุกชนิดโดยไม่ต้องแย่งกันหรือทะเลาะกัน สื่อหรือของเล่นชนิดใดที่เด็กชอบมากและใช้เวลาเล่นนาน ก็จัดหาให้มีจำนวนมากขึ้น
5. ความสามารถของครูในการใช้สื่อ สื่อที่ครูจัดหาและเลือกมานี้ ครูจะต้องใช้เป็นและรู้ประโยชน์หรือรู้จุดประสงค์ในการใช้สื่อแต่ละชนิด ถ้าหากเป็นสื่อชนิดใหม่ ครูควรอ่านคู่มือการใช้ให้ดี แล้วทดลองเล่นด้วยตนเองเสียก่อน เพื่อให้เข้าใจวิธีใช้และปัญหาที่อาจเกิดขึ้น จะได้สามารถใช้สื่อนั้นให้ตรงจุดประสงค์ หรืออาจเกิดความคิดที่จะดัดแปลงใช้สื่อนั้นกับจุดประสงค์อื่น และเพื่อแนะนำเด็กให้ใช้ได้ถูกจุดประสงค์ด้วย
ในเรื่องการจัดหาและเลือกสื่อเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยนี้ นอกจากเป็นเรื่องที่ครูควรรู้แล้ว บิดามารดาและผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเด็กก็ควรมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ด้วย เพื่อจะได้ช่วยกันส่งเสริมให้เด็กๆ ของเรารอบรู้ เฉลียวฉลาด และปลอดภัยในขณะที่เล่น ยิ่งถ้าหากมีความสามารถผลิตสื่อที่มีคุณค่าได้เองก็จะดียิ่งขึ้น

การผลิตและการใช้สื่อเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย

          แนวคิดการผลิตสื่อเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย
          เบญจา แสงมลิ และคณะ (2539: 516-519) กล่าวว่า การผลิตสื่อเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ที่จะให้เด็กเรียนรู้และใช้ความคิด ความเหมาะสมกับความสามารถและวัย ความน่าสนใจในแง่สีสันและรูปแบบ การดัดแปลงใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง มีความคงทนถาวรและปลอดภัย การใช้วัสดุที่หาได้ง่ายและผลิตได้ไม่ยากนัก ตลอดจนการมีที่เก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
สื่อที่ผลิตขึ้นเองเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยนั้นอาจทำด้วยวัสดุต่างๆ หลายอย่าง เช่น กระดาษ ไม้ พลาสติก และอาจจัดทำเป็นหลายรูปแบบ เช่น แผ่นภาพ แผ่นรูปเรขาคณิต โดมิโน เป็นต้น การผลิตสื่อขึ้นเองให้มีคุณภาพและใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น มีสิ่งที่ควรคำนึงถึงหลายประการ คือ
1. วัตถุประสงค์ที่จะให้เด็กเรียนรู้และใช้ความคิด การผลิตขึ้นเองนี้ เราสามารถผลิตให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่จะใช้ได้อย่างดีที่สุด ดังนั้น ก่อนผลิตสื่อ เราจึงควรตั้งวัตถุประสงค์ให้แน่นอนว่าจะให้เด็กได้ประสบการณ์อย่างไรบ้าง จะให้เด็กเกิดการเรียนรู้และให้ใช้ความคิดอย่างไร
2. ความเหมาะสมกับความสามารถและวัย ก่อนผลิตสื่อ เราจะต้องทราบความสามารถของเด็กปฐมวัยก่อนว่าเป็นอย่างไร เช่น เด็กวัยนี้รับรู้ส่วนรวมก่อนส่วนย่อย แยกสิ่งต่างๆ ที่เห็นโดยสังเกตสีก่อนรูปร่าง ชอบสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ เวลาผลิตสื่อจะได้ให้มีรายละเอียดน้อย มีสีต่างๆ เพื่อให้เด็กใช้เป็นหลักในการสังเกตหรือจำแนกสิ่งต่างๆ และทำให้สื่อเคลื่อนไหวได้ เป็นต้น
3. ความน่าสนใจในแง่สีสันและรูปแบบ สื่อที่ผลิตขึ้นเพื่อให้เด็กปฐมวัยใช้ ควรมีสีสันสวยงามและมีรูปแบบที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยถอดออกแล้วใส่เข้าใหม่ได้ หรือเปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบอื่นๆ ได้ตามจินตนาการของเด็ก เช่น ภาพตัดต่อ รถถอดชิ้นส่วนออกและประกอบใหม่ได้ เลโก้หรือพลาสติกสวมต่อกัน กล่องไหวพริบ หรือพลาสติกฝึกเชาว์ และไม้บล็อกแบบต่างๆ เป็นต้น
4. การดัดแปลงใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง สื่อที่จัดหามาหรือผลิตขึ้นเองจะต้องคำนึงถึงการดัดแปลงใช้ประโยชน์ให้ได้หลายๆ อย่าง เป็นการใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าด้วย ดังนั้น ก่อนผลิตสื่อ นอกจากจะคิดถึงวัตถุประสงค์เฉพาะที่จะใช้สื่อนั้นแล้ว ควรนึกถึงการดัดแปลงวิธีการใช้สื่อนั้นๆ ด้วย เช่น การทำแผ่นภาพเหมือนให้เด็กเล่นจับคู่กัน ถ้านำภาพสัตว์ประเภทเดียวกัน 3 ภาพ และนำภาพสัตว์ประเภทอื่นมาวางคละกันด้วยอีก 1 ภาพ ก็จะสามารถฝึกเด็กเรื่องการแยกประเภทได้ หรือ โดมิโนจุด ฝึกการสังเกตความเหมือนของจุด ถ้าทำไว้ 3-4 ชุด ก็สามารถนำมาเรียงกันทีละ 3-4 ชิ้น ฝึกการมองเห็นความสัมพันธ์และการคิดต่อไปได้
 5. ความคงทนถาวรและปลอดภัย สื่อที่ผลิตขึ้นเองก็ควรคำนึงถึงความคงทนถาวรและความปลอดภัยในการใช้เช่นเดียวกับสื่อที่จัดหามา เพื่อให้สื่อที่ผลิตขึ้นใช้ได้นาน แล้วไม่เป็นอันตรายต่อเด็กด้วย
6. การใช้วัสดุที่หาได้ง่าย ราคาเยา และผลิตได้ไม่ยากนัก การผลิตสื่อขึ้นเองนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้วัสดุที่หาได้ง่าย ราคาเยา และผลิตได้ไม่ยาก เพราะถ้าหากวัสดุที่จะผลิตสื่อหาได้ง่าย เมื่อเรามีเวลาว่าง มีความคิด หรือมีแรงจูงใจที่จะทำสื่อ ก็สามารถจะทำได้ทันที ไม่เสียเวลาหาวัสดุอยู่ และถ้าวัสดุนั้นราคาเยา ทำให้ต้นทุนผลิตถูกลง เราก็อยากผลิตเองมากกว่าที่จะไปซื้อมา ยิ่งถ้าการผลิตสื่อนั้นไม่ยากนัก เราก็จะมีกำลังใจในการผลิตเองมากขึ้น ทั้งอยากผลิตให้มีจำนวนมากๆ เพื่อให้พอกับจำนวนเด็กด้วย
7. การมีที่เก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งสื่อที่จัดหามาและสื่อที่ผลิตขึ้นเอง ควรคำนึงถึงระบบการเก็บด้วย โดยยึดหลักว่าหยิบก็ง่าย หายก็รู้ ดูก็งามตาการจะเก็บสื่อให้เป็นระเบียบเรียบร้อยจึงควรมีกล่องที่แข็งแรงทนทานไว้เก็บสื่อแต่ละอย่าง และมีชั้นวางสื่อให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อความสะดวกทั้ง
เวลาที่เด็กหยิบไปใช้ และเวลาที่เด็กนำกลับมาไว้ที่เดิม
แนวคิดการใช้สื่อเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย
การใช้สื่อเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ควรคำนึงถึงการเลือกใช้สื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ แนวคิด เนื้อหาและกิจกรรม การใช้สื่อให้ตรงกับความสามารถและวัยของเด็ก การเตรียมสื่อให้พร้อมและให้เพียงพอกับจำนวนเด็ก การแนะนำวิธีใช้และข้อควรระวังในการใช้สื่อ การให้เด็กได้ประสบการณ์ตรงและเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง การชื่นชมยินดีต่อผลงานหรือการค้นพบของเด็กรวมทั้งการประเมินผลหลังจากการใช้สื่อ
ครู บิดามารดา และผู้ใกล้ชิดเด็ก ถ้ารู้จักใช้สื่อต่างๆ แล้ว ก็จะเห็นคุณค่าของสื่อที่จะช่วยพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เด็กปฐมวัย เพื่อให้การใช้สื่อที่จัดหามาหรือผลิตขึ้นเองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เขียนจึงขอเสนอแนวคิดในการใช้สื่อไว้ดังนี้
1. การเลือกใช้สื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ แนวคิด เนื้อหา และกิจกรรม ผู้นำสื่อมาใช้กับเด็กหรือนำมาให้เด็กใช้ จะต้องเลือกสื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยสอดคล้องกับแนวคิด เนื้อหา และกิจกรรมแต่ละขั้นตอน ทั้งขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง ขั้นสรุป และขั้นประเมินผล ทั้งนี้ ผู้นำสื่อมาจะต้องใช้สื่อทุกชนิดให้เป็นก่อนที่จะให้เด็กใช้ เพื่อเข้าใจวิธีใช้และปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งสามารถแนะนำเด็กให้ใช้ได้อย่างถูกต้อง
2. การใช้สื่อให้ตรงกับความสามารถและวัยของเด็ก สื่อที่จัดหามาหรือผลิตขึ้น มีวิธีใช้ได้หลายวิธี กล่าวคือ ครูใช้อุปกรณ์ประกอบการสอนในบทเรียน หรือครูนำมาให้เด็กเล่นเป็นหมู่พื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และสนุกสนานเมื่อมีการแข่งขันกัน หรือครูนำมาให้เด็กเล่นเป็นรายบุคคเพื่อฝึกทักษะและทดสอบความเข้าใจของเด็ก ในการนำสื่อมาใช้ตามวิธีต่างๆ นั้น ควรให้เด็กได้ประสบการณ์ตรง ด้วยการหยิบ จับ และเล่นด้วยตนเอง การใช้สื่อจึงต้องให้ตรงกับความสามารถและวัยของเด็ก ตัวอย่างเช่น ให้เด็ก 2-3 ปี ฝึกสังเกต สื่อที่ใช้ควรมีขนาดใหญ่ให้เด็กหยิบจับได้ถนัด และสิ่งที่ให้สังเกตควรมีความแตกต่างกันมากๆ แต่ตัวเลือกต้องมีจำนวนน้อย เพื่อให้เด็กสังเกตได้ชัดเจน ไม่สับสน เนื่องจากเด็กเล็กยังมีความสังเกตไม่ดีนัก ถ้าให้เด็ก 4-5 ปี ฝึกสังเกต สื่อที่ใช้อาจมีขนาดเล็กลงได้ สิ่งที่ให้สังเกตควรมีความแตกต่างกันน้อยหรือคล้ายคลึงกัน เพื่อฝึกเด็กโตที่มีความสังเกตดีแล้วให้ใช้ความสังเกตได้ละเอียดลออยิ่งขึ้น
3. การเตรียมสื่อให้พร้อมและให้เพียงพอกับจำนวนเด็ก ครูควรเตรียมสื่อให้พร้อมและให้พอเพียงกับจำนวนเด็กก่อนถึงเวลาใช้ โดยวางแผนล่วงหน้าไว้ว่าจะใช้สื่ออะไรบ้าง สื่อชนิดนั้นๆ จะใช้กี่ชิ้น จัดให้เด็กใช้กี่คน และควรตรวจสภาพของสื่อก่อนนำไปให้เด็กเรียนรู้ทุกครั้งว่ายังใช้ได้ดีและปลอดภัยหรือไม่
4. การแนะนำวิธีใช้และข้อควรระวังในการใช้สื่อ ก่อนให้เด็กนำสื่อไปเล่น ครูควรแนะนำวิธีใช้และข้อควรระวังในการใช้สื่อนั้นให้เด็กเข้าใจเสียก่อน โดยเฉพาะสื่อชนิดใหม่ที่เด็กยังไม่เคยเล่น และสื่อบางชนิดที่อาจเกิดอันตรายขึ้นได้ถ้าเด็กเล่นไม่ระวัง นอกจากนี้ ควรบอกให้เด็กรู้กำหนดเวลาที่จะเล่นและเลิกเล่นด้วย เมื่อเด็กเล่นเสร็จแล้ว จะต้องฝึกนิสัยให้เด็กเก็บของเล่นเข้าที่ให้เรียบร้อยทุกครั้ง
5. การให้เด็กได้ประสบการณ์ตรงและเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ครูควรเปิดโอกาสอย่างเต็มที่ให้เด็กฝึกสังเกต แตะต้อง สัมผัส เล่นด้วยวิธีการต่างๆ และซักถามข้อสงสัย ดังนั้น ระหว่างที่เด็กกำลังใช้สื่อ หรือเล่นของเล่น ครูควรดูการเล่นของเด็กอยู่ห่างๆ พยายามหลีกเลี่ยงการออกคำสั่งให้เด็กทำ หรือห้ามเด็กทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือทำแบบอย่างให้เด็กลอกตาม ถ้าหากเด็กมีปัญหาต้องการให้ครูทำให้ดู ครูก็สาธิตเพียงวิธีการเล่นให้เข้าใจเท่านั้น และให้เด็กใช้ความคิดที่จะเล่นเองต่อไป ขณะที่เด็กเล่น ครูจะต้องรู้จักให้กำลังใจที่จะให้เขาประสบความสำเร็จในการทำสิ่งต่างๆ และกระตุ้นให้เด็กใช้ความคิดที่จะหาวิธีเล่นใหม่ หรือสร้างสรรค์สิ่งแปลกๆ ขึ้น ถ้าเด็กลองผิดลองถูกแล้วเกิดผิดพลาดเสียหายหรือเลอะเทอะ ครูอย่าเสียงดังเอะอะโวยวายจนเด็กตกใจ เพราะความผิดพลาดเช่นนั้นก็เป็นประสบการณ์ที่มีค่าอย่างหนึ่งที่เด็กได้รับ คือ เป็นบทเรียนให้เด็กรู้จักป้องกันหรือระมัดระวังไม่ให้เกิดผิดพลาดต่อไป ฉะนั้นขณะที่เด็กใช้สื่อ ครูควรบันทึกพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนไว้ รวมทั้งบันทึกวิธีการใหม่ๆ  ผลงานแปลกๆ ที่เด็กบางคนคิดทำขึ้น ตลอดจนบันทึกปัญหาที่เกิดขึ้นไว้ด้วย
6. การชื่นชมยินดีต่อผลงานหรือการค้นพบของเด็ก ครูควรแสดงความชื่นชมยินดีต่อผลงานหรือการค้นพบเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งแสดงถึงการประสบความสำเร็จของเด็กให้ตรงกับความเป็นจริงเพื่อให้เด็กปรับปรุงงานของเขาให้ดียิ่งขึ้นในคราวต่อไป เช่น ถ้าเด็กเล่นวาดภาพและระบายสี แต่ครูดูไม่ออกว่าเป็นภาพใด ครูควรพูดว่ามีสีต่างๆ หลากสี สวยๆ ทั้งนั้นแล้วซักถามภาพที่เด็กวาดและชื่อสีต่างๆ ก็จะช่วยให้เด็กคิดสร้างสรรค์วาดภาพอื่นๆ โดยใช้สีสวยๆ หลายๆ สี ขึ้นมาเอง ถ้าหากครูชมเชยว่าภาพวาดภาพสวยมาก และดีมากจะทำให้เด็กเข้าใจผิด คิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นดีที่สุด ก็จะทำอย่างนั้นซ้ำๆ ไม่เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น นอกจากนี้ การให้เด็กบอกชื่อภาพที่วาดหรือผลงานที่เขาทำขึ้น จะช่วยให้ครูเข้าใจความคิดของเด็ก และช่วยให้เด็กได้ใช้ภาษาอธิบายสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น ในเรื่องการชื่นชมผลงานของเด็กนี้ มีข้อควรระวัง คือ ครูจะ ต้องไม่นำผลงานของเด็กคนใดไปเปรียบเทียบกับของเด็กคนอื่น และไม่วิจารณ์จนเด็กหมดกำลังใจ หรือเกิดความอับอายที่จะทำต่อไป
7. การประเมินผลหลังการใช้สื่อ หลังจากเด็กใช้สื่อแล้วแต่ละวัน ครูควรประเมินผลการเล่นของเด็ก โดยสนทนาซักถามว่าในวันนั้นเด็กๆ ทำอะไรบ้าง ชอบหรือไม่ชอบ เพราะเหตุใด เด็กๆ ได้ผลงานอะไรกันบ้าง ใครเป็นคนดี มีน้ำใจ รู้จักแบ่งปัน รู้จักเก็บของเล่น ฯลฯ ใครเป็นคนเก่ง รู้จักวิธีคิดใหม่ๆ หรือผลิต ผลงานแปลกๆ การให้เด็กเห็นตัวอย่างที่ดีๆ เด็กจะได้เข้าใจถึงพฤติกรรมที่ดีควรทำ และรู้ถึงการปรับปรุงวิธีคิดริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานของตนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

การผลิตและการใช้ภาพเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย

          เบญจา แสงมลิ และคณะ (2539: 520-570) กล่าวว่า ภาพเป็นสื่อที่ให้การรับรู้ที่ดีแก่เด็กปฐมวัย เด็กๆ สนใจภาพที่เกี่ยวกับคน สัตว์ ต้นไม้ ผลไม้ ของใช้ และยานพาหนะต่างๆ ยิ่งถ้าภาพเคลื่อนไหวได้ เด็กๆ จะชอบมาก ภาพสำหรับเด็กควรมีลักษณะดังนี้
          1. มีสีสันสดใส
          2. มีลักษณะเป็นภาพลายเส้นหรือเป็นภาพที่มีรายละเอียดน้อย
          3. เป็นภาพการ์ตูนหรือกึ่งการ์ตูน
          4. เป็นภาพที่มีความสวยงามน่ารัก เพื่อกล่อมเกลานิสัยเด็กให้มีสุนทรีย์
          การจัดหาภาพเพื่อนำมาผลิตสื่อนั้น มีวิธีจัดหาได้หลายวิธี
          1. วาดขึ้นเอง
          2. ตัดจากหนังสือต่างๆ
          3. ใช้ภาพรูปลอก
          การผลิตสื่อภาพนี้ ถ้าจะให้ดูสวยงาม น่าใช้ และคงทน ควรเคลือบด้วยแลคเกอร์ หรือหุ้มด้วยพลาสติกใส และควรทำกล่องหรือซองเก็บภาพแต่ละชนิดด้วย
          ภาพที่ควรผลิตและใช้เพื่อเตรียมความพร้อมทางสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ได้แก่ ภาพฝึกการรับรู้ การจำ ภาพฝึกการจำแนกและการเปรียบเทียบ ภาพฝึกการมองเห็นความสัมพันธ์ ภาพฝึกการเรียงลำดับ และภาพฝึกการคิดแก้ปัญหา
          ภาพฝึกการรับรู้และการจำ
          - ภาพจับคู่
          การผลิต
          1. ตัดกระดาษแข็งอย่างหนา หรือกระดาษกล่อง หรือกระดาษชานอ้อยอย่างบาง หรือเลื่อยไม้อัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 2 x 2 นิ้ว
          2. หาภาพเกี่ยวกับคนที่มีอาชีพต่างๆ สัตว์ พืช ผลไม้ และสิ่งของต่างๆ ให้เหมือนกัน 2 ภาพ ผนึกบนกระดาษหรือไม้ที่เตรียมไว้
          3. เคลือบภาพด้วยแล็คเกอร์ หรือหุ้มด้วยพลาสติกใส
          การใช้
          1. นำภาพที่เหมือนกันแต่ละคู่มาให้เด็กดูและเรียกชื่อ ถ้าเด็กยังเรียกชื่อไม่ได้ครูก็จะบอกให้ แล้วให้เด็กพูดตามจนถูกต้องชัดเจน 2-3 ครั้ง
          2. คว่ำภาพที่เด็กรู้จักแล้วลง ให้เด็กเรียกชื่อภาพอีกต่อไป แล้วคว่ำลง ทำเช่นนี้จนหมดทุกภาพ การให้เด็กฝึกจำและรู้จักภาพนี้ ถ้าเด็กอายุน้อย จำนวนภาพควรน้อยลงด้วย โดยเริ่มจาก 3 คู่ แล้วค่อยเพิ่มขึ้นตามอายุและความสามารถของเด็ก
          3. สลับที่ภาพต่างๆ โดยเลื่อนภาพไปมา ไม่ให้เด็กจำตำแหน่งที่วางภาพเหมือนกันได้
          4. ให้เด็กเปิดภาพหงายออกทีละ 2 ภาพ ถ้าได้ภาพเหมือนกันก็ให้เด็กหยิบออกไปวางไว้ข้างตัว แล้วเปิดภาพคู่ใหม่ได้อีก 1 คู่ ถ้าภาพไม่เหมือนกัน ต้องคว่ำลงไว้ที่เดิม แล้วให้คนอื่นหยิบต่อไปจนกว่าจะเวียนมาถึงตัวเองใหม่
          หมายเหตุ สื่อภาพจับคู่นี้ จะให้เด็กเล่นคนเดียวหรือเล่นแข่งขัน 2-5 คนก็ได้ ถ้าเด็กยิ่งเล็กจำนวนผู้เล่นต้องน้อย เพราะเด็กรอโอกาสไม่ได้นาน จำนวนภาพให้เด็กจับคู่ต้องน้อย เพราะถ้ามีภาพมาก โอกาสที่เด็กจะจับคู่ได้ก็ยาก ถ้าเปิดหลายๆ ครั้งแล้วไม่ได้คู่ เด็กก็จะหมดกำลังใจที่จะเล่น
ภาพตัวอย่างภาพจับคู่

          - ภาพตัดต่อ
          การผลิต
          1. หาภาพที่แสดงลักษณะรูปร่างของสัตว์ สิ่งของ ให้มีขนาดใหญ่พอประมาณ มผนึกลงบนกระดาษแข็งหรือไม้
       2. ตัดภาพออกเป็นส่วน จำนวนชิ้นส่วนที่จะตัดจะมากหรือน้อยและลักษณะเส้นที่ตัดจะซับซ้อนมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับอายุของเด็ก ถ้าเด็กอายุน้อยก็ควรตัดชิ้นส่วนน้อย และเส้นที่ตัดต้องง่ายต่อการสังเกต อาจมีแนวเส้นให้เด็กสังเกตดูรูปร่างของชิ้นส่วน และมีกรอบใหญ่บังคับไว้ เพื่อให้เด็กประสบความสำเร็จในเวลาพอสมควร
          3. ทาแล็คเกอร์เคลือบภาพเพื่อให้ภาพคงทน
          การใช้
            1. นำภาพที่สมบูรณ์ก่อนแยกออกเป็นชิ้นส่วน มาให้เด็กสังเกตว่าเป็นภาพอะไร
          2. แยกชิ้นส่วนออก แล้วคละกัน
          3. ให้เด็กประกอบชิ้นส่วนเป็นภาพเดิม

ภาพตัวอย่างภาพตัดต่อ 2 ชิ้น

ภาพตัวอย่างภาพตัดต่อ 2 ชิ้น

ภาพตัวอย่างภาพตัดต่อ 3 ชิ้น

ภาพตัวอย่างภาพตัดต่อ 3 ชิ้น

ภาพตัวอย่างภาพตัดต่อหลายชิ้น

ภาพตัวอย่างภาพตัดต่อหลายชิ้น

          - ภาพผิดปกติ
          ภาพผิดปกติมี 3 ลักษณะ คือ
          1. ภาพที่บางส่วนขาดหายไป
          2. ภาพที่บางส่วนเกินมา
          3. ภาพที่ผิดธรรมชาติในเรื่องต่างๆ
          การผลิต
          1. หาภาพที่ผิดปกติทั้ง 3 ลักษณะ มีขนาดใหญ่พอประมาณ มาผนึกลงบนกระดาษแข็งหรือไม้
          2. ทาแล็คเกอร์เคลือบภาพเพื่อให้ภาพคงทน
          การใช้
          1. ให้เด็กสังเกตภาพทีละภาพ แล้วให้บอกว่าภาพนั้นผิดปกติตรงไหน ละบอกเหตุผว่าภาพนั้นผิดปกติอย่างไร
          2. ให้ชี้ส่วนที่ผิดปกติ และให้บอกว่าภาพที่ถูกจะเป็นอย่างไร

ภาพตัวอย่างภาพผิดปกติ เพราะบางส่วนขาดหายไป

ภาพตัวอย่างภาพผิดปกติ เพราะบางส่วนเกินมา

ภาพตัวอย่างภาพผิดปกติ เพราะผิดธรรมชาติ

ภาพฝึกการจำแนกและเปรียบเทียบ
          ภาพที่จะให้เด็กจำแนกและเปรียบเทียบความเหมือนหรือความต่างนั้น มีทั้งเรื่องสี รูปร่าง ขนาด จำนวน ชนิด ลักษณะ ประเภท ประโยชน์
          - ภาพเหมือน
          การผลิตภาพให้เด็กจำแนกและเปรียบเทียบความเหมือนนี้ทำได้หลายวิธี
          การผลิต วิธีที่ 1
          ผลิตภาพลักษณะเดียวกับการผลิตภาพคู่ โดยให้มีทั้งภาพคน สัตว์ พืช ผลไม้ และสิ่งของต่างๆ แต่ละอย่างให้มีแบบต่างๆ กัน จำนวนหลายภาพ ถ้าผลิตภาพคู่แล้วจะนำมาใช้รวมกับภาพเหมือนก็ได้
          การใช้
          1. นำภาพทั้งหมดมารวมกัน แล้วให้เด็กจำแนกหมวดหมู่ตามคำสั่ง เช่น ให้หาภาพคน สัตว์ ต้นไม้ ผลไม้ และสิ่งของ ดังตัวอย่าง
          ให้หยิบภาพสัตว์ออกมาจากกอง แล้วบอกว่าเป็นสัตว์อะไรบ้าง และมีกี่ตัว

ภาพตัวอย่างภาพฝึกการจำแนกหมวดหมู่

          2. เรียงภาพทีละ 4 ภาพ โดยให้มีภาพที่เหมือนกันหรือคล้ายกัน 2 ภาพ แล้วให้เด็กบอก ชี้ หรือหยิบ ภาพที่เหมือนกัน หรือคล้ายกัน 2 ภาพ พร้อมทั้งบอกเหตุผลด้วย ดังตัวอย่าง
          ให้หยิบภาพที่เหมือนกัน หรือคล้ายกัน 2 ภาพ แล้วบอกเหตุผลว่าเหมือนกันหรือคล้ายกันอย่างไร

ภาพตัวอย่างภาพเปรียบเทียบความเหมือน

          การผลิต วิธีที่ 2
        
         1. หาภาพใหญ่ที่ประกอบด้วยรายละเอียดที่จะแยกเป็นชิ้นส่วนหรือภาพย่อยไว้หลายๆ ภาพ ปะไว้บนแถบภาพ ขนาดกว้าง 3 (1/2) นิ้ว ยาว 6 (1/2)  นิ้ว ทางด้านซ้าย ส่วนด้านขวาวาดชิ้นส่วนหรือภาพย่อยไว้ให้ครบส่วนประกอบของภาพใหญ่ และเพิ่มภาพลวงอีกประมาณ 3-4 ภาพ ดังตัวอย่าง ภาพรถและคนขี่ม้า
          2. เคลือบด้วยแล็คเกอร์ หรือหุ้มด้วยพลาสติกใส

ภาพตัวอย่างภาพ การหาส่วนประกอบย่อยของภาพใหญ่

ภาพตัวอย่างภาพ การหาส่วนประกอบย่อยของภาพใหญ่

          การใช้
          ให้เด็กสังเกตภาพที่สมบูรณ์ด้านซ้ายว่าประกอบด้วยชิ้นส่วนหรือภาพย่อยอะไรบ้าง แล้วสังเกตภาพที่เป็นส่วนประกอบทางด้านขวา และบอกหรือชี้หรือใช้ปากกาปลายสักหลาดกาเครื่องหมายทับภาพ หรือวง รอบภาพที่เป็นส่วนประกอบภาพใหญ่
          การผลิต วิธีที่ 3
          ผลิตแถบภาพขนาดกว้าง 2 นิ้ว ยาว 8 นิ้ว โดยใช้วิธีผลิตเช่นเดียวกับภาพจับคู่ ในแถบภาพประกอบ ด้วยภาพต่างๆ 4 ภาพ โดยให้มีภาพที่เหมือนกันอยู่เป็นภาพแรก 1 ภาพ มีเส้นคั่นไว้ อีก 3 ภาพจะอยู่ไปทาง ขวามือต่อจากเส้นคั่น และในจำนวน 3 ภาพนั้น จะมีภาพเหมือนกับภาพแรกอยู่ 1 ภาพ ถ้าจะให้เด็กกาเครื่องหมาย ทับภาพหรือวงรอบภาพแล้วลบออกเพื่อนำกลับมาใช้อีกจะต้องเคลือบด้วยแล็คเกอร์หรือหุ้มด้วยพลาสติกใส
          การใช้
          ให้เด็กดูภาพแรก แล้วสังเกตภาพภายในทั้ง 3 ภาพว่าภาพใดเหมือนกับภาพแรก ให้เด็กตอบโดยการบอก ชี้ หรือใช้ปากกาปลายสักหลาดกาเครื่องหมายทับภาพหรือวงรอบภาพนั้น ตัวอย่างเช่น
          1. ภาพเหมือนเปรียบเทียบสี เพื่อฝึกเด็กให้สังเกตสีที่เหมือนกัน อาจทำเป็นรูปต่างๆ หรือรูปเรขาคณิ แล้วระบายสี ดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพเหมือนเปรียบเทียบสี
         2. ภาพเหมือนเปรียบเทียบรูปร่าง เพื่อฝึกเด็กให้สังเกตความเหมือนกันทุกประการของภาพที่เห็น เช่น ภาพปลา ภาพดอกไม้ ภาพแจกัน ดังตัวอย่าง 

ภาพตัวอย่างภาพเหมือนเปรียบเทียบรูปร่าง

         3. ภาพเหมือนเปรียบเทียบขนาด เพื่อฝึกเด็กให้สังเกตสิ่งที่มีขนาดเท่ากันในด้านความใหญ่-เล็ก, สั้น-ยาว, สูง-ต่ำ, อ้วน-ผอม ฯลฯ เช่น เปรียบเทียบขนาดใหญ่-เล็กของภาพเป็ด ภาพใบไม้ ภาพแก้วน้ำ ดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพเหมือนเปรียบเทียบขนาด

         4. ภาพเหมือนเปรียบเทียบจำนวน เพื่อฝึกเด็กให้สังเกตสิ่งที่มีจำนวนท่ากัน เช่น ภาพกระต่าย ภาพมังคุด ภาพหมวก ดังตัวอย่าง 

ภาพตัวอย่างภาพเหมือนเปรียบเทียบจำนวน

         5. ภาพเหมือนเปรียบเทียบชนิด เพื่อฝึกเด็กให้สังเกตสิ่งที่เป็นชนิดเดียวกันแต่มีรูปร่างต่างกัน หรือมีท่าทางต่างกัน หรืออยู่ในตำแหน่ง ทิศทางต่างกัน เช่น ภาพแมว ภาพไก่ ภาพใบไม้ ดังตัวอย่าง 

ภาพตัวอย่างภาพเหมือนเปรียบเทียบชนิด

         6. ภาพเหมือนเปรียบเทียบลักษณะ เพื่อฝึกเด็กให้สังเกตรายละเอียดหรือโครงสร้างของสิ่งที่เห็น เช่น ลักษณะของสัตว์ 2 ขา ลักษณะของสัตว์ 4 ขา ลักษณะของสัตว์ที่มีเขา ดังตัวอย่าง 
ภาพที่ 5.20 ตัวอย่างภาพเหมือนเปรียบเทียบลักษณะ
          7. ภาพเหมือนจำแนกประเภท เพื่อฝึกเด็กให้รู้จักสิ่งที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน เช่น สัตว์น้ำ สัตว์จำพวกแมลง เครื่องใช้ที่อยู่ในครัว ดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพเหมือนจำแนกประเภท
         8. ภาพเหมือนจำแนกประโยชน์ เพื่อฝึกให้เด็กรู้จักจำแนกสิ่งที่มีประโยชน์เหมือนกัน เช่น เป็นที่อยู่อาศัย เป็นที่ใส่อาหาร เป็นที่ใส่หนังสือ ดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพเหมือนจำแนกประโยชน์

         หมายเหตุ
          1. ถ้าเด็กมีความสังเกตดีแล้ว อาจเปลี่ยนวิธีเรียงภาพทั้ง 4 ภาพใหม่โดยไม่ต้องมีภาพแรกนำ ให้เด็กหาคู่ภาพเหมือน แต่ใช้วิธีเรียงภาพ 4 ภาพนั้นคละตำแหน่งกัน เพื่อให้เด็กสังเกตภาพที่เหมือนกันทั้ง 2 ภาพได้เอง และสอนให้เด็กเรียกตำแหน่งของภาพแทนชื่อภาพ เช่น ภาพที่หนึ่ง ภาพที่สอง ภาพที่สาม หรือภาพแรก ภาพกลาง ภาพสุดท้าย หรือภาพซ้าย ภาพขวา นอกจากนี้ควรสอนคำที่สุด” “กว่าของขนาดและจำนวนด้วย เช่น เล็กที่สุด มากที่สุด ยาวกว่า ฯลฯ จะช่วยให้เด็กใช้ความสามารถในการสังเกต จำแนก เปรียบเทียบได้มากขึ้น และเรียนรู้คำศัพท์ที่เป็นนามธรรมมากขึ้น
          2. ภาพเหมือนที่ให้เด็กจำแนกและเปรียบเทียบนี้ นอกจากเป็นภาพสิ่งต่างๆ แล้ว อาจใช้ภาพเงาของสิ่งต่างๆ สัญลักษณ์ต่างๆ มาให้เด็กสังเกตด้วย เช่น รูปภาพเรขาคณิต เครื่องหมาย ตัวอักษร ตัวเลข ฯลฯ เพื่อให้เด็กใช้ความสังเกตได้มากขึ้น และให้คุ้นเคยกับสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ในการเรียน อ่าน เขียน และตัวเลขต่อไป 
         - ภาพต่าง
          การผลิตภาพให้เด็กจำแนกและเปรียบเทียบความต่างนี้ ทำได้หลายวิธีเช่นเดียวกับการจำแนกและเปรียบเทียบความเหมือน
          การผลิต วิธีที่ 1
          ผลิตภาพลักษณะเดียวกับการผลิตภาพเหมือนในวิธีที่ 1
          การใช้
          เรียงภาพทีละ 4 ภาพ โดยให้เป็นภาพที่เหมือนกัน 3 ภาพ และเป็นภาพที่ต่างจากภาพอื่น 1 ภาพ วิธีเรียงภาพทั้ง 4 นี้ ให้เรียงคละตำแหน่งกันเพื่อให้เด็กสังเกตภาพที่ต่างได้เอง แล้วให้เด็กบอก ชี้ หรือหยิบภาพที่ต่าง พร้อมทั้งบอกเหตุผลด้วย ดังตัวอย่าง
          ให้หยิบภาพที่ต่างจากภาพอื่น แล้วบอกเหตุผลว่าต่างจากภาพอื่นอย่างไร

ภาพตัวอย่างภาพที่ต่างจากภาพอื่น

         การผลิต วิธีที่ 2
          ผลิตแถบภาพลักษณะเดียวกับการผลิตแถบภาพเหมือน ในวิธีที่ 3 ภาพ 4 ภาพที่อยู่บนแถบภาพ จะเป็นภาพที่เหมือนกัน 3 ภาพ และเป็นภาพที่ต่างจากภาพอื่น 1 ภาพ โดยเรียงภาพทั้ง 4 คละตำแหน่งกัน
          การใช้
          ให้เด็กสังเกตภาพในแถบภาพทีละภาพว่าภาพใดเหมือนกันบ้าง และภาพใดต่างจากภาพอื่น ให้เด็กตอบโดยการบอก ชี้ หรือใช้ปากกาปลายสักหลาดกาเครื่องหมายทับภาพ หรือวงรอบภาพนั้น ตัวอย่างเช่น
          1. ภาพต่างเปรียบเทียบสี เพื่อฝึกเด็กให้สังเกตความต่างของสี เช่น ภาพดอกไม้ ภาพแมลง ภาพหมวก ดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพต่างเปรียบเทียบสี

          2. ภาพต่างเปรียบเทียบรูปร่าง เพื่อฝึกเด็กให้สังเกตภาพชนิดเดียวกันแต่มีรูปร่างต่างกัน หรืออยู่ในตำแหน่ง ทิศทางต่างกัน เช่น ภาพกระต่าย ภาพมังคุด ภาพดินสอ ดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพต่างเปรียบเทียบรูปร่าง

          3. ภาพต่างเปรียบเทียบขนาด เพื่อฝึกเด็กให้สังเกตขนาดที่ต่างไปจากภาพอื่น เช่น ภาพบ้าน ภาพมะเขือเทศ ภาพรองเท้า ดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพต่างเปรียบเทียบขนาด
         4. ภาพต่างเปรียบเทียบจำนวน เพื่อฝึกเด็กให้สังเกตจำนวนในภาพที่ต่างไปจากภาพอื่น เช่น ภาพสัตว์ ภาพผลไม้ ดังตัวอย่าง 

ภาพตัวอย่างภาพต่างเปรียบเทียบจำนวน
          5. ภาพต่างเปรียบเทียบชนิด เพื่อฝึกเด็กให้สังเกตสิ่งที่มีชนิดแตกต่างไปจากภาพอื่น หรือไม่เข้าพวกกับภาพอื่น เช่น ม้าต่างจากหมา พริกต่างจากใบไม้ รถจักรยานสองล้อต่างจากรถยนต์ ดังตัวอย่าง 

ภาพตัวอย่างภาพต่างเปรียบเทียบชนิด

         6. ภาพต่างเปรียบเทียบลักษณะ เพื่อฝึกเด็กให้สังเกตรายละเอียดหรือโครงสร้างของภาพที่ต่างจากภาพอื่น เช่น สัตว์สองขาต่างจากสัตว์สี่ขา สัตว์ไม่มีขาต่างจากสัตว์ที่มีเขา สัตว์ที่ไม่มีปีกต่างจากสัตว์ที่มีปีกบางตัวอย่าง 
ภาพตัวอย่างภาพต่างเปรียบเทียบลักษณะ

       7. ภาพต่างจำแนกประเภท ฝึกเด็กให้รู้จักจำแนกความต่างด้านประเภทของสิ่งต่างๆ เช่น สัตว์ปีกต่างจากสัตว์จำพวกแมลง ของกินต่างจากของเล่น เครื่องกันฝนต่างจากเครื่องครัว ดังตัวอย่าง 

ภาพที่ 5.30 ตัวอย่างภาพต่างจำแนกประเภท

          8. ภาพต่างจำแนกประโยชน์ เพื่อฝึกเด็กให้รู้จักจำแนกความต่างด้านประโยชน์ของสิ่งต่างๆ เช่น สิ่งที่ให้ความชื่นตาชื่นใจต่างจากสิ่งที่กินได้ สิ่งที่ใช้ใส่ของต่างจากสิ่งที่ใช้แต่งตัว สิ่งที่ใช้ทุบหรือตอกแตกต่างจากสิ่งที่ใช้ตัด ดังตัวอย่าง       

 ภาพตัวอย่างภาพต่างจำแนกประเภท

         หมายเหตุ
          1. การให้เด็กบอกว่าภาพใดต่างจากภาพอื่นนั้น สำหรับเด็กที่รู้จักคำศัพท์ที่ใช้เรียกชื่อภาพต่างๆ ได้ดีแล้ว ครูควรสอนเช่นเดียวกับภาพเหมือน คือ ให้เด็กเลือกตำแหน่งของภาพ เช่น ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 ภาพที่ 4 รือภาพแรก ภาพกลาง ภาพสุดท้าย หรือภาพซ้ายสุด ภาพถัดมา ภาพขวาสุด และควรสอนคำ ที่สุด” “กว่าของขนาดและจำนวนด้วย นอกจากนี้ ควรซักถามให้เด็กบอกเหตุผลที่ภาพนั้นแตกต่างจากภาพอื่นทุกครั้ง เพื่อฝึกให้เด็กใช้ความคิด ความสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน และฝึกใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมด้วย

          2. ภาพต่างที่ให้เด็กจำแนกและเปรียบเทียบนี้ นอกจากเป็นภาพสิ่งต่างๆ แล้ว อาจใช้สัญลักษณ์ต่างๆ มาให้เด็กสังเกตได้เช่นเดียวกับภาพเหมือน โดเฉพาะตัวอักษรไทย ตัวเลข มีความคล้ายคลึงกันหลาตัว เป็นต้นว่า ด ค, , ม น, ถ ภ, ท ฑ, 6 9 หรือ คําบางคํา เช่น กบ บก, บวก บอก, กอด ดอก, ฯลฯ ดังนั้น ถ้าเด็กได้ฝึกจำแนกและเปรียบเทียบความต่างของอักษรไทและตัวเลข นอกจากเด็กจะได้คุ้นเคยกับรูปร่างของตัวอักษรและตัวเลขแล้ว ยังจะได้สังเกตความแตกต่างของตัวอักษรและตัวเลขเหล่านั้นด้วย ซึ่งจะทำให้เด็กมีความพร้อมในการเรียน อ่าน เขียน และเลขยิ่งขึ้น

          ภาพฝึกการมองเห็นความสัมพันธ์
          การผลิตภาพ ให้เด็กฝึกการมองเห็นภาพความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ นั้น จะเสนอไว้ 2 แบบ คือ ภาพสิ่งที่ใช้คู่กัน และสิ่งที่ใช้ในบางสถานการณ์เดียวกัน
          1. ภาพสิ่งที่ใช้คู่กัน
          ภาพที่จะนำมาฝึกการมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งที่ใช้คู่กันนี้ เป็นภาพเกี่ยวกับสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ด้วยกัน เช่น แปรงสีฟันกับยาสีฟัน ถุงเท้าใช้คู่กับรองเท้า ช้อนใช้คู่กับซ่อม รถยนต์แล่นบนถนน รถไฟแล่นบนราง เรือแล่นในน้ำ เป็นต้น
          การผลิต วิธีที่ 1
          ผลิตแถบภาพลักษณะเดียวกับการผลิตแถบภาพเหมือน ในวิธีที่ 3 บนแถบภาพจะมีภาพอยู่อย่างน้อย 4 ภาพ ภาพแรกซ้ายมือสุดเป็นภาพนำที่กำหนดให้เด็กหาสิ่งที่จะใช้คู่กัน ภาพต่อไปอีก 3 ภาพ เป็นภาพที่ใช้คู่กับภาพแรก 1 ภาพ และเป็นภาพลวงอีก 2 ภาพ โดยเรียงภาพให้คละตำแหน่งกัน สำหรับภาพลวง ถ้าเด็กอายุ 5 ปีแล้ว อาจมีมากกว่า 2 ภาพก็ได้ แถบภาพนี้ควรเคลือบด้วยแล็คเกอร์หรือหุ้มด้วยพลาสติกใส
          การใช้
          ให้เด็กดูภาพแรก แล้วสังเกตภาพภายในแถบอีก 3 ภาพ และเลือกภาพใดภาพหนึ่ง ที่ใช้คู่กับภาพแรกที่กำหนดให้ โดยให้เด็กบอก ชี้ หรือใช้ปากกาปลายสักหลาดกาเครื่องหมายทับภาพ หรือวงรอบภาพนั้น ดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพสิ่งที่ใช้คู่กัน

         การผลิต วิธีที่ 2
          หาภาพสิ่งที่ใช้คู่กันมาปะปนบนแผ่นกระดาษแข็งขนาดเท่ากระดาษโรเนียวพับ 3 กระดาษแข็ง          แต่ละแผ่นอาจปะภาพได้ประมาณ 3-4 คู่ แล้วแต่ขนาดของภาพ วิธีปะภาพ ให้ปะลงมาตามแนวตั้ง โดยแยกภาพสิ่งที่ใช้คู่กันไว้คนละด้าน แต่สลับตำแหน่งกัน แผ่นภาพนี้ควรเคลือบด้วยแล็คเกอร์หรือหุ้มด้วยพลาสติกใส
          การใช้
         ให้เด็กดูภาพทางด้านซ้ายมือจากบนลงล่างทีละภาพ แล้วให้เลือกภาพใดภาพหนึ่งทางด้านขวามือที่ใช้คู่กับภาพนั้น โดยให้เด็กบอก ชี้ หรือโยงเส้น ดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพให้โยงเส้นจับคู่ภาพที่ใช้คู่กัน

         2. ภาพสิ่งที่ใช้ในสถานการณ์เดียวกัน
          ภาพที่จะนำมาฝึกการมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งที่ใช้ในสถานการณ์เดียวกันนี้ จะเป็นภาพเชื่อมโยงความคิดของเด็กให้รู้จักสีต่างๆ หลายๆ สิ่งที่ใช้ในสถานการณ์ที่กำหนดให้ เช่น ภาพสิ่งที่จะใช้ในเวลาฝนตก ภาพสิ่งที่ควรใช้เวลาแต่งตัว ภาพสิ่งที่แม่จะนำมาใช้เวลาเย็บผ้า เป็นต้น หรืออาจเป็นสิ่งที่ครูกำหนดเงื่อนไขให้คล้ายกับการจำแนกประเภท เช่น ภาพสิ่งที่เป็นผลไม้ ภาพสัตว์จำพวกแมลง เป็นต้น
          การผลิต
          หาภาพสิ่งที่ใช้สถานการณ์ต่างๆ หรือสิ่งที่อยู่ในประเภทต่างๆ พร้อมทั้งภาพอื่นๆ ที่จะใช้เป็นภาพลวงด้วย แล้วปะภาพแต่ละสถานการณ์และภาพลวงไว้บนแผ่นกระดาษแข็งขนาดเท่ากับกระดาษโรเนียวพับ 3 โดยจัดภาพให้น่าชม แผ่นภาพนี้ควรเคลือบด้วยแล็คเกอร์หรือหุ้มด้วยพลาสติกใส
          การใช้
          ให้เด็กดูภาพทั้งหมดในแผ่นภาพ แล้วเลือกภาพที่ใช้ในสถานการณ์ หรือจัดอยู่ในประเภทที่ครูกำหนดให้ โดยบอก หรือชี้ หรือทำเครื่องหมายทับภาพ หรือวงรอบภาพเหล่านั้น ดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพสิ่งที่ใช้ในสถานการณ์เดียวกัน (เวลาฝนตก)

ภาพตัวอย่างภาพสิ่งที่ใช้ในสถานการณ์เดียวกัน (เวลาแต่งตัว)

ภาพตัวอย่างภาพสิ่งที่ใช้ในสถานการณ์เดียวกัน (ผลไม้)

          ภาพฝึกการเรียงลำดับ
          การผลิตภาพเพื่อฝึกเด็กให้รู้จักการเรียงลำดับนั้น ภาพที่ใช้ควรเป็นภาพของสิ่งต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ หรือเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับจากก่อนไปหลัง เช่น การเกิดของพืช การเกิดของแมลง การเกิดของกบ การเกิดฝน ฯลฯ หรือเรียงลำดับสิ่งที่เกิดขึ้นจากมากไปหาน้อย จากน้อยไปหามาก เช่น การลุกไหม้ของเทียน การต่อไม้บล็อก การกินขนม ฯลฯ ลำดับภาพต่างๆ เหล่านี้จะมีให้ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เรียงลำดับไม่ถูก เพื่อให้เด็กเรียงลำดับใหม่ให้ถูก หรือจะเป็นภาพที่ทิ้งเรื่องค้างไว้ให้เด็กคิดต่อก็ได้
          - ภาพการเรียงลำดับเรื่องที่สมบูรณ์
          การผลิต
          ผลิตบัตรภาพเช่นเดียวกับการผลิตบัตรภาพคู่ โดยให้มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละตอนปะไว้บนบัตรภาพแต่ละแผ่น เรียงลำดับกันตั้งแต่ต้นจนจบ ชุดละประมาณ 4-6 แผ่น บัตรภาพทั้งหมดควรเคลือบด้วยแล็คเกอร์หรือหุ้มด้วยพลาสติกใส เพิ่มความคงทนและสวยงาม
          การใช้
          1. ให้เด็กดูภาพทุกภาพของเรื่องราวเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยสลับที่ลำดับก่อนหลัง แล้วให้เด็กรียงลำดับเรื่องราวเอง พร้อมทั้งเล่าเรื่องประกอบ ถ้าเด็กยังเล่าไม่ถูกต้อง ครูอาจซักถามให้คิดใหม่จนกว่าจะถูก เพื่อฝึกเด็กให้ใช้ความคิดอย่างมีเหตุผล และรู้จักแก้ปัญหา หรือ
         2. ครูเล่าเรื่องราวให้เด็กฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วให้เด็กเรียงลำดับภาพตามเรื่องราวที่ครูเล่าให้ถูกต้อง วิธีนี้เป็นการฝึกเด็กให้จำและเข้าใจเรื่องราว


 ภาพตัวอย่างภาพฝึกการเรียงลำดับเรื่องที่สมบรูณ์

ภาพตัวอย่างภาพฝึกการเรียงลำดับเรื่องที่สมบรูณ์

          - ภาพการเรียงลำดับเรื่องที่ยังไม่จบ
          การผลิต
          ผลิตแถบภาพขนาดกว้าง 2 นิ้ว ยาว 6-10 นิ้ว แล้วแต่ความยาวของเรื่องที่จะให้เด็กสังเกต (กะให้แต่ละตอนยาว 2 นิ้ว ถ้าแถบภาพยาว 6 นิ้วก็ได้ 3 ตอน ถ้ายาวถึง 10 นิ้วก็ได้ 5 ตอน) โดยปะเรื่องราวทุกตอนไปตามยาวของแถบภาพ แต่ตอนจบของเรื่องแยกทำบัตรภาพต่างหาก และมีภาพลวงอีกอย่างน้อย 3 ภาพ เพื่อให้เด็กคิดเรื่องต่อเอง ภาพลวงนี้จะทำเป็นบัตรสี่เหลี่ยม ขนาดกว้าง 2 นิ้วยาว 2 นิ้ว ก็ได้ หรือจะทำเป็นวงกลมรัศมี 1 นิ้วก็ได้ เพื่อให้เห็นบัตรคำตอบที่ให้เลือกเด่นชัดขึ้น ทั้งแถบเรื่องและบัตรคำตอบเคลือบด้วยแล็คเกอร์หรือหุ้มด้วยพลาสติกใส 
         การใช้
         ให้เด็กดูภาพและเล่าเรื่องตามภาพ แล้วให้เด็กบอกว่าตอนจบจะจบอย่างไร โดยเลือกจากภาพคำตอบพร้อมทั้งให้เหตุผลด้วย


ภาพตัวอย่างภาพฝึกการเรียงลำดับเรื่องที่ยังไม่จบ

         - ภาพฝึกการคิดแก้ปัญหา
          ภาพฝึกการคิดแก้ปัญหานี้ เป็นภาพที่ให้เด็กใช้ความคิดในหลายๆ ทาง แต่จะมีทางที่เด็กแก้ปัญหาได้สำเร็จอย่างน้อย 1 ทาง เป็นการฝึกให้เด็กใช้วิธีแก้ปัญหาได้หลายๆ แบบ
          การผลิต
          ผลิตแผ่นภาพเป็นเส้นทางซับซ้อนที่จะได้สิ่งของตามวัตถุประสงค์ ปะไว้บนกระดาษแข็งหรือแผ่นไม้รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาว 8  นิ้ว คูณ 8  นิ้ว แล้วเคลือบด้วยแล็คเกอร์หรือหุ้มด้วยพลาสติกใส
          การใช้
          ให้เด็กสังเกตเส้นทางบนแผ่นภาพ และหาทางแก้ปัญหาโดยเริ่มจากจุดตั้งต้นไปยังจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ ดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพฝึกการคิดแก้ปัญหา

          หมายเหตุ
          การดัดแปลงภาพเส้นทางให้มีจุดตั้งต้นหลายจุด และวัตถุประสงค์หลายๆ อย่าง เพื่อให้เด็กประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาหลายครั้งก็ได้


การผลิตและการใช้แผ่นรูปเรขาคณิตเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย

          รูปเรขาคณิตเป็นสื่ออย่างหนึ่งที่ช่วยพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ดร. มาเรีย มอนเตสซอรี่ (Dr. Maria Montessori) ผู้นำทางอนุบาลศึกษาที่สำคัญคนหนึ่ง ได้สร้างอุปกรณ์ชุดสีและชุดรูปเรขาคณิตขึ้นใช้ฝึกการสังเกตและส่งเสริมสติปัญญา ชุดรูปเรขาคณิตที่ผลิตเป็นอุปกรณ์การสอนนั้น ประกอบด้วยรูปวงกลม รูปวงรี และรูปเหลี่ยมต่างๆ ตั้งแต่สามเหลี่ยมถึงเก้าเหลี่ยม และจากการศึกษาหนังสือสำหรับเด็กชุด Lady bird เรื่องรูปเรขาคณิตต่างๆ ได้ผลสอดคล้องกันว่า รูปเรขาคณิตที่เด็กปฐมวัยควรเรียนรู้ก่อนเข้าเรียนเนื่องจากได้รับประสบการณ์จากชีวิตประจำวัน ได้แก่ รูปวงกลม รูปวงรี รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นอกจากนี้ จากผลการวิจัยของ วชิราภรณ์ อัจฉริยะโกศล เรื่องรูปแบบของอุปกรณ์ที่เด็กระดับอนุบาลไทยชอบ ปรากฏว่ารูปแบบอย่างง่ายทรงเรขาคณิตเป็นรูปแบบของอุปกรณ์ที่เด็กชอบมากที่สุด
          การผลิตแผ่นรูปเรขาคณิตนี้ วัสดุที่จะใช้แผ่นรูปปะลงไปอาจเป็นแผ่นไม้ หรือกระดาษชานอ้อยอย่างบาง หรือกระดาษแข็งหนา หรือกระดาษกล่องก็ได้ และการใช้ผลรูปเรขาคณิตสามารถให้ครูใช้เป็นอุปกรณ์การสอนและให้เด็กใช้เป็นของเล่นก็ได้ ถ้าครูเป็นผู้ใช้ ครูจะสามารถใช้ได้ทุกขั้นตอนของกิจกรรมการสอนคือ ทั้งขั้นนำ ขั้นสอน หรือขั้นให้เด็กปฏิบัติกิจกรรม ขั้นสรุป และขั้นการวัดผล

          - แผ่นรูปเรขาคณิตฝึกการรับรู้ การจำ และการมองเห็นความสัมพันธ์
          การผลิต
          1. ใช้กระดาษวาดเขียนกว้าง 9 นิ้ว ยาว 9 นิ้ว ทำตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัส 36 ตาราง เป็นแถวละ 6 ตาราง 6 แถว ตารางหนึ่งๆ จะมีขนาดกว้าง 1 (1/2)  นิ้ว และยาว 1 (1/2) นิ้ว ตารางแถบบนสุดตั้งแต่ช่องที่ 2 ถึงช่องที่ 6 วาดรูปดาว « 5 ดวง และระบายสีแดง เหลือง แสด น้ำเงิน เขียว ส่วนตารางซ้ายมือสุดตั้งแต่ช่องที่ 2  ลงมา วาดรูปเรขาคณิตรูปวงกลม วงรี สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วระบายสีม่วงทั้งหมด เสร็จแล้วปะแผ่นตารางนี้บนแผ่นไม้หรือวัสดุอื่น
         2. วาดรูปเรขาคณิต รูปวงกลม วงรี สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมผืนผ้า และสี่เหลี่ยมจัตุรัส อย่างร 5 รูป รูปละ 5 สี คือ แดง เหลือง แสด น้ำเงิน เขียว เพื่อเก็บไว้บนแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ทำด้วยไม้หรือวัสดุอื่น ขนาดกว้าง (1/2) นิ้ว ยาว 1 (1/2) นิ้ว 25 แผ่น
          3. เคลือบตารางและแผ่นรูปเรขาคณิตด้วยแล็คเกอร์
          การใช้
          ให้โดยสังเกตรูปเรขาคณิตในตารางซ้ายมือ และสังเกตสีในตารางข้างบน แล้วหยิบแผ่นไม้ที่มีรูปและสีนั้นๆ ใส่ให้ตรงช่องรูปและสีของแต่ละแถว ถ้ามีหลายๆ ชุด อาจให้เด็กเล่นแข่งขันกันจะสนุกยิ่งขึ้น

ภาพตัวอย่างแผ่นภาพรูปเรขาคณิตฝึกการรับรู้ การจำ และการมองเห็นความสัมพันธ์

          หมายเหตุ
          อาจใช้แผ่นไม้เจาะตารางตั้งแต่ช่อง 2 ของแถวนอนและแถวตั้ง แต่ต้องให้แผ่นไม้กว้างยาวขึ้นอีก 1 (1/2) นิ้ว เพื่อทำขอบกว้าง (1/4) นิ้ว แบ่งตารางแต่ละช่อง เวลาเจาะต้องใช้ความประณีตมากแล้วเก็บไม้ที่เจาะออกจากตารางมาทำรูปเรขาคณิต 5 รูป รูปละ 5 สีต่อไป รูปสีเหล่านี้อาจใช้สีน้ำมันเขียนลงไปบนแผ่นไม้ได้เลย นอกจากนี้ อาจดัดแปลงรูปดาวด้านบนเป็นรูปอื่นได้ เช่น จำนวน ขนาด ฯลฯ โดยผลิตทำนองเดียวกันนี้

          - แผ่นรูปเรขาคณิตฝึกการมองเห็นความสัมพันธ์
          การผลิต วิธีที่ 1
          ทำแผ่นภาพขนาดกว้าง 5 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว ด้านซ้ายเป็นรูปเรขาคณิต ด้านขวาเป็นรูปสิ่งของที่มีรูปร่างเป็นรูปเรขาคณิต แล้วเคลือบด้วยแล็คเกอร์หรือหุ้มด้วยพลาสติก
          การใช้
          ให้เด็กบอก ชี้ หรือใช้ปากกาปลายสักหลาดโยงเส้นจับคู่รูปเรขาคณิตกับรูปสิ่งของที่รูปร่างเหมือนกัน

ภาพตัวอย่างภาพแผ่นรูปเรขาคณิตฝึกการมองเห็นความสัมพันธ์

การผลิต วิธีที่ 2
          ทำแผ่นรูปเรขาคณิตรูปต่างๆ ให้เป็นรูปเรขาคณิตที่สมบูรณ์ และเป็นรูปเรขาคณิตที่แยกส่วนออกจากกัน 2-4 ชิ้น โดยใช้วิธีผลิตเช่นเดียวกับภาพจับคู่ หรือภาพตัดต่อ
          การใช้
          1. ถ้าผลิตแบบภาพจับคู่ ก็ให้เด็กจับคู่รูปเรขาคณิตที่สมบูรณ์กับที่รูปสี่แยกส่วนประกอบให้ตรงกัน
          2. ถ้าผลิตแบบภาพตัดต่อ ก็ให้เด็กนำส่วนประกอบของรูปเรขาคณิตมาประกอบให้เป็นรูปเรขาคณิต ที่สมบูรณ์

ภาพตัวอย่างภาพแผ่นรูปเรขาคณิตฝึกการมองเห็นความสัมพันธ์

          - แผ่นรูปเรขาคณิตปลุกความสังเกตและความคิดสร้างสรรค์
          การผลิต วิธีที่ 1
          1. ทำกรอบภาพที่ใช้รูปเรขาคณิตหลายๆ แบบต่อกัน โดยใช้เฉพาะโครงภาพกรอบนอกเท่านั้น
          2. ทำแผ่นรูปเรขาคณิตให้มีแบบต่างๆ และขนาดต่างๆ กัน ด้วยไม้หรือวัสดุอื่นๆ
         การใช้
          ให้เด็กเลือกแผ่นรูปเรขาคณิตมาใส่ในกรอบให้สมบรูณ์

ภาพตัวอย่างภาพแผ่นรูปเรขาคณิตฝึกความสังเกตและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

         การผลิต วิธีที่ 2
         1. ทำรูปเรขาคณิตรูปวงกลมสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมด้วยไม้หรือวัสดุอื่นให้มีขนาดใหญ่ กลาง เล็ก จำนวนอย่างละเกิน 10 ชิ้นขึ้นไป แล้วจักขอบแต่ละด้านเข้าไปดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพการต่อแผ่นรูปเรขาคณิต

         2. ทาสีรูปเรขาคณิตเหล่านั้นให้มีสีสันสวยงาม หรือเคลือบด้วยแล็คเกอร์
          การใช้
          ให้เด็กนำแผ่นรูปเรขาคณิตมาต่อกันเป็นรูปต่างๆ ตามความนึกคิดของเด็กเอง ดังตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างภาพการต่อแผ่นรูปเรขาคณิตตามความนึกคิด

การผลิตและการใช้โดมิโนเพื่อพัฒนาสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์

          โดมิโนเป็นสื่ออย่างหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย เพราะฝึกให้เด็กสังเกตภาพที่เหมือนกัน หรือภาพที่มีความสัมพันธ์กัน และต้องใช้ความคิดที่จะนำภาพมาต่อให้ถูก
          โดมิโนประกอบด้วยชุดแผ่นภาพที่แต่ละชิ้นมีภาพ 2 ภาพ หรือ 3 ภาพ ซึ่งต่างกันอยู่ด้วยกันถ้ามี 2 ภาพ ก็อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นโดมิโนธรรมดา ถ้ามี 3 ภาพ ก็อยู่ในกรอบสามเหลี่ยมเป็นโดมิโนสามเหลี่ยมหรือตรีโดมิโน ภาพเหล่านี้อาจเป็นภาพสัตว์ ผลไม้ สิ่งของ แผ่นสีต่างๆ จุดตัวเลข ตัวพยัญชนะ และคำ หรืออาจใช้ภาพที่กล่าวเหล่านี้ปนกัน 2 อย่างก็ได้ เช่น จุดกับตัวเลข ภาพกับพยัญชนะ ภาพกับคำ ตัวเลขกับคำ เป็นต้น เมื่อเด็กเล่นก็จะนำภาพที่เหมือนกันหรือมีความสัมพันธ์กันมาวางต่อกัน
          การผลิต
           1. ตัดกระดาษวาดเขียนกว้าง 1 นิ้ว ยาว 2 นิ้ว ตีกรอบแบ่งเป็น 2 ช่องเท่าๆ กัน
          2. วาดภาพที่กล่าวไว้ตอนต้นโดยยึดหลักตามแผนผังการสร้างโดมิโนตามที่แสดงไว้
          3. ตัดไม้หรือวัสดุอื่นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเท่าแผ่นภาพ แล้วติดแผ่นภาพไว้บนไม้เหล่านี้
          4. เคลือบแผ่นภาพด้วยแล็คเกอร์ หรือหุ้มด้วยพลาสติก
          หมายเหตุ
          อาจวาดภาพลงบนแผ่นไม้เลยก็ได้ แล้วเคลือบด้วยแล็กเกอร์

ภาพตัวอย่างภาพแผนผังการสร้างโดมิโน
ภาพตัวอย่างภาพโดมิโนสัตว์

ภาพตัวอย่างภาพโดมิโนผลไม้

ภาพตัวอย่างภาพโดมิโนสิ่งของ

ภาพตัวอย่างภาพโดมิโนจุด

ภาพตัวอย่างภาพโดมิโนตัวเลข

ภาพตัวอย่างภาพโดมิโนจุดกับตัวเลข

ภาพตัวอย่างภาพโดมิโนภาพกับตัวพยัญชนะ

ภาพตัวอย่างภาพโดมิโนภาพกับคำ

ภาพตัวอย่างภาพโดมิโนสามเหลี่ยมหรือตรีโดมิโน

          การใช้
          1. การฝึกความสังเกตเปรียบเทียบและมองเห็นความสัมพันธ์
          ให้เด็กนำภาพที่เหมือนกัน หรือมีความสัมพันธ์กันมาวางต่อกัน ถ้าเด็กเล่นหลายคนก็แบ่งโดมิโนให้คนละเท่าๆ กัน แล้วให้เด็กผลัดกันวาง ถ้าของใครต่อไม่ได้ก็ผ่านไปก่อน โดมิโนของเด็กคนไหนหมดก่อน คนนั้นชนะ

ภาพตัวอย่างการต่อโดมิโน

          2. การฝึกความสังเกตและการคิดแก้ปัญหา
          โดมิโนที่จะฝึกให้เด็กสังเกตและคิดแก้ปัญหานี้ ควรเป็นโดมิโนจุดที่ผลิตตามแผนผังการสร้างโดมิโน รวม 4 ชุด เพื่อนำมาเรียงกันให้เด็กสังเกตความเหมือน ความต่าง และคิดต่อได้ หรือครูอาจทำเป็นแผ่นภาพสำเร็จรูปมีคำตอบให้เด็กเลือกตอบโดยบอก ชี้ หรือใช้ปากกาปลายสักหลาดขีดทับคำตอบก็ได้
          ลำดับขั้นในการฝึก
          1. แนะนำให้เด็กรู้จักโดมิโน และทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำพูดที่ครูจะใช้
                   1.1  โดมิโนแต่ละชิ้น มี 2 ปลาย ถ้าครูจับขึ้นในแนวตั้งก็จะมีปลายบนและปลายล่าง ถ้าครูจับในแนวนอน ก็จะมีปลายซ้ายและปลายขวา
                   1.2  การเรียงโดมิโน ถ้าครูเรียงต่อกันตามแนวนอน ให้เรียกว่า บรรทัดแล้วอธิบายให้เด็กเข้าใจและเรียกบรรทัดที่ 1, 2, 3 ได้ถูกต้อง และถ้าครูเรียงต่อกันตามแนวตั้งให้เรียกว่า แถวแล้วอธิบายให้เข้าใจและเรียกแถวที่ 1, 2, 3 ได้ถูกต้อง
          2. เรียงโดมิโนให้เด็กสังเกตและคิด โดยเรียงครั้งละ 3 ชิ้น เพื่อให้เด็กสังเกตว่าโดมิโน 3 ชิ้นนั้ เหมือนกัน หรือต่างกัน ซึ่งอาจจะเป็นปลายบนเหมือนกัน ปลายล่างต่างกัน หรือปลายบนต่างกัน ปลายล่างเหมือนกันก็ได้ ถ้าเด็กทราบว่าต่างกันก็ให้เด็กคิดต่อไปว่าต่างกันอย่างไร ซึ่งอาจจะต่างกันเพราะเมื่อสังเกตจากซ้ายไปขวาแล้วจุดเพิ่มขึ้น หรือจุดลดลง และเพิ่มขึ้นหรือลดลงทีละเท่าไร อาจเป็นทีละ 2 เป็นต้น ดังนั้นการเรียงลำดับโดมิโนจะต้องเรียงจากซ้ายไปขวา และเรียงจากบนลงล่างโดยให้เด็กสังเกตและคิดจากง่ายไปยาก ดังนี้
                   2.1  ปลายบนจุดเท่ากัน ปลายล่างจุดเท่ากัน
                   2.2  ปลายบนจุดเพิ่มขึ้น ปลายล่างจุดเท่ากัน
                   2.3  ปลายบนจุดเท่ากัน ปลายล่างจุดเพิ่มขึ้น
                   2.4  ปลายบนจุดลดลง ปลายล่างจุดเท่ากัน
                   2.5  ปลายบนจุดเท่ากัน ปลายล่างจุดลดลง
                   2.6  ปลายบนจุดเพิ่มขึ้น ปลายล่างจุดเพิ่มขึ้น
                   2.7  ปลายบนจุดลดลง ปลายล่างจุดลดลง
                   2.8  ปลายบนจุดเพิ่มขึ้น ปลายล่างจุดลดลง
                   2.9  ปลายบนจุดลดลง ปลายล่างจุดเพิ่มขึ้น
          3. หลังจากที่เด็กเข้าใจความสัมพันธ์ของจุดโดมิโนทั้ง 3 ชิ้นนี้อย่างดีแล้ว ให้วางโดมิโนเปล่าที่ไม่มีจุดให้เด็กคิดต่อไปว่า ถ้าจะเติมจุดลงไปในโดมิโนนั้น ปลายบนจะมีกี่จุด ปลายล่างจะมีกี่จุด และให้เด็กบอกเหตุผลด้วย

ภาพตัวอย่างภาพการเรียงโดมิโนให้ปลายบนจุดเพิ่มขึ้น
ปลายล่างจุดกัน แล้วให้คิดเติมจุดในชิ้นต่อไป โดยมีคำตอบให้เลือก


ภาพตัวอย่างภาพการเรียงโดมิโนให้ปลายจุดเพิ่มขึ้น
ปลายล่างจุดเท่ากัน แล้วให้เด็กคิดเติมจุดในชิ้นต่อไป โดยมีคำตอบให้เลือก

          4. ถ้าเด็กเข้าใจความสัมพันธ์และคิดเติมจุดในโดมิโนที่เรียงตามแนวนอนบรรทัดเดียวได้ถูกต้องดีแล้ว อาจเรียงโดมิโนเป็น 2 บรรทัด โดยให้เด็กหาความสัมพันธ์ของโดมิโนในบรรทัดแรก แล้วคิดเติมจุดให้ได้ในบรรทัดที่ 2 
ดังตังอย่าง
   
ภาพตัวอย่างภาพการเรียงโดมิโนเป็น 2 บรรทัด
         นอกจากภาพ แผ่นรูปเรขาคณิตและโดมิโนจะเป็นสื่อที่ช่วยพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยได้อย่างดีตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีสื่ออีกมากมายหลายชนิดที่ช่วยพัฒนาสติปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยได้อย่างดีเช่นเดียวกัน อาทิ บล็อกไม้รูปทรงเรขาคณิตต่างๆ ซึ่งเป็นแท่งไม้ด้านเรียบให้เด็กนำมาเรียงต่อกันหรือซ้อนกันเป็นชั้นๆ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้ หรือเป็นแท่งไม้ที่ด้านมีรูให้ใส่แกนต่อเป็นรูปต่างๆ

เอกสารอ้างอิง


นิภา แย้มวจี. (2552). การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย. ค้นข้อมูล 22 ตุลาคม 2559,    
         จาก http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=10400&Key=hotnews

Dinhin. (2549 วันที่ 7 พฤษภาคม). ความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking). ค้นข้อมูล 
      13 พฤศจิกายน 2559, จาก http://dinhin2503.blogspot.com/2006/05/creative-thinking.
        html
Guilford, J.P. (1967). The Nature of Human Intelligence. New York: McGraw-Hill Book Co.

ความคิดเห็น